การเข้าร่วมการชุมนุมประท้วง (ประเทศสหรัฐอเมริกา)
อัปเดตครั้งล่าสุด: January 09, 2015
ด้วยการเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีส่วนบุคคล ผู้ประท้วงที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองทั้งหมดได้เพิ่มจำนวนการบันทึกเอกสารการประท้วงของพวกเขา และการเผชิญหน้ากับตำรวจมากขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่น กล้องถ่ายรูปและโทรศัพท์มือถือ ในบางกรณี การถ่ายภาพตำรวจปราบจราจลที่อยู่ตรงหน้าของคุณ แล้วโพสต์ที่ใดก็ได้บนอินเทอร์เน็ต ก็มีประสิทธิภาพมากมายอย่างเหลือเชื่อ และสามารถดึงความสนใจของสาธารณชนได้อย่างสูง
ข้อมูลต่อไปนี้คือเคล็ดลับที่มีประโยชน์ ถ้าคุณอยู่ที่การชุมนุมประท้วง และกังวลเกี่ยวกับการป้องกันอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณ หาก (หรือเมื่อ) คุณถูกตำรวจตั้งคำถาม กักตัว หรือจับกุม อย่าลืมว่าเคล็ดลับเหล่านี้เป็นเพียงแนวทางทั่วไปเท่านั้น ดังนั้น หากคุณมีความกังวลในเรื่องที่เฉพาะเจาะจง กรุณาปรึกษาทนาย
หากอาศัยอยู่นอกสหรัฐฯ ดูข้อมูลที่ “การเข้าร่วมประท้วง” ของเรา (ต่างประเทศ)
ป้องกันโทรศัพท์ของคุณ ก่อนที่คุณจะออกไปประท้วง anchor link
คิดให้ถี่ถ้วนว่ามีอะไรอยู่ในโทรศัพท์ของคุณบ้าง ก่อนที่คุณจะพกโทรศัพท์ของคุณไปที่การประท้วง
โทรศัพท์ของคุณมีข้อมูลส่วนตัวของคุณอยู่มากมาย อาทิ รายชื่อผู้ติดต่อของคุณ ผู้คนที่คุณโทรหาเมื่อเร็วๆ นี้ ข้อความและอีเมลของคุณ ภาพถ่ายและวิดีโอ ข้อมูลพิกัดตำแหน่ง GPS ประวัติการท่องเว็บของคุณ ล็อกอินที่ใช้งานและรหัสผ่าน รวมทั้งเนื้อหาของบัญชีผู้ใช้อีเมลและสื่อสังคมของคุณ หากผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงอุปกรณ์ของคุณด้วยรหัสผ่านที่คุณจัดเก็บไว้ พวกเขาสามารถดึงข้อมูลเพิ่มเติมได้ แม้แต่จากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล
ศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา (The United States Supreme Court) ล่าสุดได้กำหนดว่า ตำรวจต้องมีหมายค้น เพื่อสืบค้นข้อมูลนี้จากผู้ต้องสงสัยที่จับกุมตัวไว้ได้ แต่ขีดจำกัดที่แท้จริงของการออกกฎดังกล่าวนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้ บางครั้งหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายจะพยายามยึดโทรศัพท์ไว้ก่อน เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าโทรศัพท์มีหลักฐานของอาชญากรรม (อย่างเช่น ภาพถ่ายที่คุณอาจบันทึกภาพการประท้วงไว้) หรืออันเป็นส่วนหนึ่งของการตรวจค้นพาหนะ จากนั้น พวกเขาสามารถขอหมายค้นในภายหลังเพื่อตรวจสอบโทรศัพท์ที่พวกเขายึดมาแล้วได้
เพื่อปกป้องสิทธิของคุณ คุณอาจต้องแข็งขืนไม่ยอมให้ตรวจค้นโทรศัพท์เครื่องปัจจุบันของคุณ นอกจากนี้ คุณควรพิจารณานำโทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งหรือโทรศัพท์เครื่องอื่นที่ไม่มีข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไปที่การประท้วง โทรศัพท์เครื่องนั้นต้องเป็นเครื่องที่คุณไม่เคยใช้เพื่อเข้าสู่ระบบการติดต่อสื่อสารหรือสื่อสังคมใดๆ ของคุณ และคุณไม่ใส่ใจถ้าทำโทรศัพท์หายหรือถูกยึดไปสักระยะหนึ่ง ถ้าคุณมีข้อมูลส่วนตัวหรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อนเป็นจำนวนมากในโทรศัพท์ของคุณ ทางเลือกอย่างหลังน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
ตัวเลือกในการป้องกันด้วยรหัสผ่านและการเข้ารหัส: ป้องกันโทรศัพท์ของคุณด้วยรหัสผ่านเสมอ พึงระวังว่าแค่การป้องกันด้วยรหัสผ่านหรือล็อกโทรศัพท์ของคุณไม่ใช่การป้องกันที่มีประสิทธิภาพสำหรับนักวิเคราะห์ทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เชี่ยวชาญ ในระบบปฏิบัติการของทั้ง Android และ iPhone มีตัวเลือกการเข้ารหัสทั้งดิสก์ และคุณควรใช้งานตัวเลือกนี้ ถึงแม้ว่าตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุดคือการทิ้งโทรศัพท์มือถือของคุณไว้ที่อื่น
ปัญหาอย่างหนึ่งของการเข้ารหัสโทรศัพท์มือถือก็คือ ระบบ Android ใช้รหัสผ่านเดียวกันทั้งสำหรับการเข้ารหัสดิสก์และการปลดล็อกหน้าจอ นี่เป็นการออกแบบที่ไม่ดี เนื่องจากแบบนี้จะเป็นการบังคับให้ผู้ใช้ต้องเลือกว่าจะใช้รหัสผ่านที่คาดเดาง่ายเกินไปสำหรับการเข้ารหัส หรือต้องพิมพ์รหัสผ่านที่ยาวเกินไปและไม่สะดวกสำหรับหน้าจอ ทางสายกลางที่ดีที่สุดคือเลือกอักขระแบบสุ่ม 8-12 ตัว ซึ่งไม่สามารถพิมพ์ได้ง่ายๆ อย่างรวดเร็วบนอุปกรณ์ของคุณ หรือถ้าคุณมีสิทธิในการเข้าถึง Root ของโทรศัพท์ Android ของคุณ และคุณทราบวิธีการใช้งานเชลล์ กรุณาอ่านบทความได้ที่นี่ (กรุณาดูรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีการเข้ารหัสข้อความและการโทรด้วยเสียง ได้ในแนวทางเรื่อง"การติดต่อสื่อสารกับผู้อื่น”)
สำรองข้อมูลของคุณ: ถือเป็นสิ่งสำคัญที่คุณต้องสำรองข้อมูลที่จัดเก็บอยู่ในโทรศัพท์ของคุณของคุณบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากโทรศัพท์ของคุณต้องตกไปอยู่ในมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คุณอาจไม่ได้โทรศัพท์ของคุณคืนสักระยะหนึ่ง (หรืออาจไม่ได้คืนเลย) และเนื้อหาของโทรศัพท์ของคุณอาจถูกลบไป ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่ก็ตาม ถึงแม้เราจะคิดว่า การที่ตำรวจลบข้อมูลของคุณเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม แต่ก็มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้
ด้วยเหตุผลเดียวกัน คุณอาจพิจารณาเขียนหมายเลขโทรศัพท์ที่สำคัญ ซึ่งไม่ใช่หมายเลขที่อาจทำให้ต้องรับผิดทางอาญา บนร่างกายของคุณด้วยปากกาหรือสีเมจิกที่ลบไม่ออก ในกรณีที่คุณทำโทรศัพท์ของคุณหาย แต่ได้รับอนุญาตให้โทรออกได้หนึ่งครั้ง
ข้อมูลตำแหน่งของมือถือจากเสาที่รับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ: ถ้าคุณพกโทรศัพท์ของคุณไปด้วยในการชุมประท้วง รัฐบาลจะสามารถระบุได้อย่างง่ายดายว่าคุณอยู่ที่การชุมนุมนั้น โดยการขอข้อมูลจากผู้ให้บริการของคุณ (เราเชื่อว่า กฎหมายกำหนดให้รัฐบาลต้องมีหมายค้นเพื่อขอข้อมูลพิกัดตำแหน่งของแต่ละบุคคล แต่ทางรัฐบาลไม่เห็นด้วย) ถ้าคุณไม่ต้องการให้รัฐบาลทราบได้ว่าคุณไปเข้าร่วมการชุมนุมประท้วง อย่านำโทรศัพท์ติดตัวไปด้วย ถ้าคุณจำเป็นต้องพกโทรศัพท์มือถือติดตัวไปด้วยจริงๆ ให้นำเครื่องที่ไม่ได้จดทะเบียนในชื่อของคุณไป
คุณอาจไม่สามารถโทรหาเพื่อนของคุณได้ ถ้าคุณถูกกักตัวไว้ คุณอาจวางแผนกับเพื่อนของคุณไว้ล่างหน้า ให้โทรหากันหลังจากการชุมนุมประท้วง หากคุณไม่ได้โทรหาเพื่อนของคุณ พวกเขาจะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าคุณถูกจับ
คุณต้องทำอย่างไร เมื่อคุณอยู่ที่การชุมนุมประท้วง? anchor link
รักษาการควบคุมโทรศัพท์ของคุณไว้: รักษาการควบคุมอาจหมายถึงการพกพาโทรศัพท์ติดตัวคุณไว้ตลอดเวลา หรือมอบให้เพื่อนที่คุณไว้ใจเก็บไว้ ถ้าคุณกำลังกระทำการที่คุณคิดว่าอาจทำให้คุณถูกจับได้
พิจารณาใช้วิธีการถ่ายภาพและวิดีโอ: แค่การได้รู้ว่ามีกล้องบันทึกภาพเหตุการณ์ไว้ก็อาจเพียงพอที่จะทำให้ตำรวจไม่กล้าประพฤติมิชอบในหน้าที่ในระหว่างการชุมนุมประท้วงแล้ว EFF เชื่อว่าคุณมีสิทธิตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่หนึ่ง (First Amendment) ในการบันทึกภาพหรือเสียงของการชุมนุมประท้วงในที่สาธารณะ รวมทั้งการกระทำของตำรวจได้ แต่ทั้งนี้ คุณต้องเข้าใจด้วยว่า ตำรวจอาจไม่เห็นด้วย โดยอ้างถึงกฎหมายท้องถิ่นและกฎหมายของรัฐต่างๆ หากคุณวางแผนที่จะบันทึกเสียง คุณควรอ่านแนวทางที่มีประโยชน์เรื่อง 'เราสามาถบักทึกเสียงได้หรือไม่?' ของคณะกรรมการผู้ื่สื่อข่าวเพื่อเสรีภาพของสื่อมวลชน (The Reporters Committee for Freedom of the Press หรือ RCFP)
หากคุณต้องการเก็บตัวตนของคุณและพิกัดตำแหน่งของคุณไว้เป็นความลับ ให้แน่ใจว่าคุณได้ลบเมตาดาต้าทั้งหมดออกจากภาพถ่ายของคุณแล้ว ก่อนที่คุณจะโพสต์ภาพดังกล่าว
ในสถานการณ์อีกอย่างหนึ่ง เมตาดาต้าอาจมีประโยชน์สำหรับใช้เพื่อแสดงความน่าเชื่อถือของเหตุการณ์ที่คุณเก็บภาพได้ที่การชุมนุมประท้วง โครงการ Guardian ได้พัฒนาเครื่องมือชนิดหนึ่งขึ้นมา ชื่อว่า InformaCam ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดเก็บเมตาดาต้ารวมกับข้อมูลอื่นๆ อาทิ ข้อมูลเกี่ยวกับพิกัด GPS ปัจจุบันของผู้ใช้ ระดับความสูง ทิศทางที่มุ่งหน้าไปตามที่แสดงบนเข็มทิศ ผลการอ่านค่าจากเครื่องวัดแสง ลายเซ็นของอุปกรณ์ในบริเวณใกล้เคียง เสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือ และเครือข่าย Wi-Fi เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้ช่วยอธิบายถึงสถานการณ์และบริบทที่ถ่ายภาพดิจิทัลไว้ให้ชัดเจนขึ้น
ถ้าคุณถ่ายภาพหรือวิดีโอไว้ ตำรวจอาจพยายามยึดโทรศัพท์ของคุณเพื่อดึงข้อมูลหรือเนื้อหาในโทรศัพท์ไว้เป็นหลักฐาน ถ้าคุณทำงานด้านสื่อสารมวลชน คุณอาจสามารถอ้างสิทธิพิเศษของผู้สื่อข่าว เพื่อป้องกันข้อมูลที่ยังไม่มีการเผยแพร่หรือตีพิมพ์ของคุณได้ RCFP มีแนวทางที่อธิบายถึงสิทธิพิเศษของผู้สื่อข่าวในสถานะต่างๆ
ถ้าคุณกังวลว่าจะถูกระบุตัวตน ให้ใส่หน้ากากปิดหน้าของคุณไว้เพื่อไม่ให้พวกเขาสามารถระบุตัวคุณจากภาพถ่ายได้ อย่างไรก็ตาม ในบางสถานที่การใส่หน้ากากก็อาจทำให้คุณมีปัญหาได้ เนื่องจากในบางประเทศมีกฎหมายห้ามใส่หน้ากาก ผ้าปิดหน้า หรืออย่างอื่นที่ปิดบังใบหน้า
ช่วยด้วย! ช่วยฉันด้วย! ฉันถูกจับ anchor link
อย่าลืมว่าคุณมีสิทธิที่จะไม่พูด ไม่ว่าเกี่ยวกับโทรศัพท์ของคุณหรืออะไรอื่นๆ
ถ้าตำรวจตั้งคำถามกับคุณ คุณสามารถยืนยันอย่างสุภาพว่าจะพูดกับทนายความของคุณเท่านั้น และขออย่างสุภาพว่าให้ตำรวจหยุดตั้งคำถามกับคุณ จนกว่าทนายความของคุณจะมาถึง ทางที่ดีที่สุดคืออย่าพูดอะไรเลย จนกว่าคุณจะมีโอกาสได้พูดกับทนายความของคุณ อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณตัดสินใจที่จะพูด ให้แน่ใจว่าคุณพูดความจริง การโกหกเจ้าหน้าที่ตำรวจอาจเป็นอาชญากรรม และคุณอาจเจอข้อหาจากการให้การเท็จต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย หนักกว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการจากคอมพิวเตอร์ของคุณเสียอีก
ถ้าตำรวจขอดูโทรศัพท์ของคุณ คุณสามารถบอกพวกเขาได้ว่า คุณไม่ยินยอมให้ตรวจค้นอุปกรณ์ของคุณ พวกเขาอาจยังคงสามารถตรวจค้นโทรศัพท์ของคุณได้อยู่ หากพวกเขามีหมายค้นหลังจากที่จับกุมคุณ แต่อย่างน้อยคุณก็ได้บอกอย่างชัดแจ้งแล้วว่า คุณไม่อนุญาตให้พวกเขากระทำการดังกล่าว
ถ้าตำรวจขอรหัสผ่านของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณ (หรือขอให้คุณปลดล็อกอุปกรณ์ของคุณ) คุณสามารถปฏิเสธอย่างสุภาพ และของพูดกับทนายความของคุณ ถ้าตำรวจถามว่าโทรศัพท์เป็นของคุณหรือเปล่า คุณสามารถตอบพวกเขาได้ว่า โทรศัพท์เครื่องนั้นอยู่ในความครอบครองของคุณตามกฎหมาย โดยไม่ต้องยอมรับหรือปฏิเสธความเป็นเจ้าของหรือการควบคุม สถานการณ์ในการจับกุมแต่ละครั้งจะแตกต่างกันออกไป และคุณต้องการความช่วยเหลือจากทนายความของคุณ เพื่อช่วยให้คุณหลุดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว
สอบถามทนายความของคุณเกี่ยวกับสิทธิตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ห้า (Fifth Amendment) ซึ่งคุ้มครองคุณจากการถูกบังคับให้ต้องให้การที่เป็นการปรักปรำตัวเอง ถ้าการมอบคีย์การเข้ารหัส หรือรหัสผ่านเป็นการละเมิดสิทธิในข้อนี้ แม้แต่ศาลก็ไม่สามารถบังคับให้คุณเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวนี้ได้ ถ้าการมอบคีย์การเข้ารหัสหรือรหัสผ่านจะเป็นการเปิดเผยข้อมูลที่อุปกรณ์ไม่มี (เช่น การแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้มีสิทธิในการควบคุมไฟล์ต่างๆ บนคอมพิวเตอร์) กับเจ้าหน้าที่รัฐบาล คุณมีข้อโต้แย้งที่แข็งแกร่งซึ่งบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ห้า (Fifth Amendment) สามารถคุ้มครองคุณได้ แต่ถัาการมอบคีย์การเข้ารหัสหรือรหัสผ่านไม่ได้เข้าข่ายตามกฎหมายการให้ความคุ้มครองการถูกบังคับให้ต้องให้การที่เป็นการปรักปรำตัวเอง เช่น การแสดงให้เห็นว่าคุณมีสิทธิในการควบคุมไฟล์ต่างๆ บนคอมพิวเตอร์ บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่ห้า (Fifth Amendment) จะไม่สามารถคุ้มครองคุณได้ ทนายความของคุณสามารถช่วยให้คุณตัดสินใจว่าบทบัญญัตินี้มีผลบังคับใช้อย่างไรในสถานการณ์ของคุณ
และการที่ตำรวจไม่สามารถบังคับให้คุณบอกรหัสผ่านของคุณ ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถกดดันคุณได้ ตำรวจอาจกักตัวคุณไว้ และคุณอาจต้องเข้าคุกแทนที่จะถูกปล่อยตัวทันที ถ้าพวกตำรวจเห็นว่าคุณไม่ให้ความร่วมมือ คุณจะต้องตัดสินใจว่าจะปฏิบัติตามหรือไม่
ตำรวจยึดโทรศัพท์ของฉันได้ ฉันจะขอคืนได้อย่างไร? anchor link
ถ้าโทรศัพท์หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณถูกยึดไปตามกฎหมาย และไม่ได้ส่งคืนให้กับคุณทันที เมื่อคุณถูกปล่อยตัว คุณสามารถให้ทนายความของคุณยื่นคำร้องกับศาล เพื่อให้ตำรวจส่งคืนทรัพย์สินของคุณ ถ้าตำรวจเชื่อว่าจะพบหลักฐานการก่ออาชญากรรมในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณ รวมถึงในภาพถ่ายและวิดีโอของคุณ ตำรวจสามารถเก็บไว้เป็นหลักฐานได้ นอกจานี้ พวกเขาอาจพยายามยึดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ของคุณไว้ แต่คุณสามารถยื่นฟ้องร้องต่อศาลได้
โทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญของการชุมนุมประท้วงในศตวรรษที่ 21 ทุกคนในสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นพลเมืองของสหรัฐหรือไม่ก็ตาม ควรใช้สิทธิของตนตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ฉบับแก้ไขเพิ่มเติมครั้งที่หนึ่ง (First Amendment) ในการพูดและชุมนุมกันได้อย่างเสรี และเราหวังว่าเคล็ดลับข้างต้นนี้จะเป็นแนวทางที่มีประโยชน์ และช่วยให้คุณจัดการกับความเสี่ยงต่อทรัพย์สินและความเป็นส่วนตัวของคุณได้อย่างชาญฉลาด