Skip to main content
Surveillance
Self-Defense

การเก็บรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย

อัปเดตครั้งล่าสุด: November 11, 2019

This page was translated from English. The English version may be more up-to-date.

หากคุณเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟน แล็ปท็อป หรือแท็บเล็ต หมายความว่าคุณมีข้อมูลจำนวนมากติดตัวอยู่ตลอดเวลา รายชื่อติดต่อทางสังคม การสื่อสารส่วนบุคคล เอกสารและรูปภาพส่วนตัว (ซึ่งส่วนใหญ่จะมีข้อมูลที่เก็บไว้เป็นความลับของบุคคลจำนวนหลายสิบคน หรือแม้กระทั่งหลายพันคน) คือตัวอย่างบางส่วนของข้อมูลที่คุณจัดเก็บไว้ในอุปกรณ์แบบดิจิทัล ด้วยเหตุผลที่เราจัดเก็บและมีข้อมูลจำนวนมาก ทำให้การรักษาข้อมูลดังกล่าวให้ปลอดภัยเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เนื่องจากการสูญเสียข้อมูลดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ค่อนข้างง่าย

ข้อมูลของคุณอาจถูกยึดที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง ถูกขโมยตามท้องถนนหรือจากบ้านของคุณ และสามารถถูกคัดลอกได้ในเวลาเพียงไม่กี่วินาที ยิ่งไปกว่านั้น การล็อกอุปกรณ์โดยใช้รหัสผ่าน PIN หรือท่าทางอาจไม่สามารถปกป้องข้อมูลของคุณได้หากอุปกรณ์ถูกยึดไป การหลีกเลี่ยงวิธีการล็อกดังกล่าวทำได้ค่อนข้างง่าย เนื่องจากข้อมูลของคุณถูกจัดเก็บไว้ในรูปแบบที่สามารถอ่านได้ง่ายภายในอุปกรณ์ ผู้ไม่หวังดีเพียงแค่ต้องเข้าถึงพื้นที่จัดเก็บโดยตรงก็จะสามารถทำสำเนาหรือตรวจดูข้อมูลของคุณได้โดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน

อย่างไรก็ตาม คุณสามารถทำให้การปลดล็อกข้อมูลลับของคุณทำได้ยากขึ้นสำหรับบุคคลที่ขโมยข้อมูลของคุณไป ต่อไปนี้คือวิธีการบางส่วนที่สามารถใช้เพื่อเก็บรักษาข้อมูลของคุณให้ปลอดภัย

การเข้ารหัสข้อมูล anchor link

หากคุณใช้การเข้ารหัส ผู้ไม่หวังดีจะต้องใช้ทั้งอุปกรณ์และรหัสผ่านของคุณเพื่อปลดล็อกข้อมูลที่เข้ารหัสไว้ ดังนั้น การเข้ารหัสข้อมูลทั้งหมด ไม่ใช่เฉพาะแค่โฟลเดอร์บางส่วน จึงเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด สมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่มีตัวเลือกการเข้ารหัสดิสก์ทุกส่วนแบบสมบูรณ์ให้ใช้งานได้

สำหรับสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต:

  • Android มีตัวเลือกการเข้ารหัสทั้งดิสก์ (full-disk encryption ) ให้ใช้งานเมื่อคุณตั้งค่าโทรศัพท์เป็นครั้งแรกในอุปกรณ์ใหม่ หรืออยู่ในส่วนการตั้งค่า  “การรักษาความปลอดภัย” ในอุปกรณ์รุ่นเก่า
  • อุปกรณ์ Apple อย่างเช่น iPhone และ iPad ตัวเลือกนี้เรียกว่า “Data Protection” (การปกป้องข้อมูล) และให้เปิดใช้งานถ้าคุณตั้งรหัสผ่าน

สำหรับคอมพิวเตอร์:

  • สำหรับ Apple คุณสมบัติการเข้ารหัสทั้งดิสก์ที่ติดตั้งมาในเครื่องใน macOS เรียกว่า FileVault  
  • ระบบปฏิบัติการ Linux เพื่อการแจกจ่าย (distributions) มักมีตัวเลือกการเข้ารหัสทั้งดิสก์ให้ใช้งานได้เมื่อตั้งค่าระบบเป็นครั้งแรก
  • Windows เวอร์ชัน Vista ขึ้นไปมีคุณสมบัติการเข้ารหัสทั้งดิสก์ที่เรียกว่า BitLocker รวมอยู่ด้วย

รหัสของ BitLocker ถูกปิดและอยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ หมายความว่าผู้ตรวจดูภายนอกจะไม่สามารถรู้ได้แน่นอนว่าระบบมีการรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับใด ในการใช้ BitLocker คุณจำเป็นต้องให้ความไว้วางใจต่อ Microsoft ในการรักษาความปลอดภัยให้กับระบบการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่มีอันตรายแอบซ่อนอยู่ กล่าวคือ ถ้าคุณใช้ Windows อยู่แล้ว เท่ากับคุณให้ความไว้วางใจ Microsoft ในระดับดังกล่าวเช่นกัน หากกังวลเกี่ยวกับการสอดแนมจากผู้ไม่หวังดีที่อาจรู้หรือได้รับประโยชน์จากช่องทางลับทั้งใน Windows หรือ BitLocker ให้ลองพิจารณาใช้ระบบปฏิบัติการแบบโอเพ่นซอร์สตัวเลือกอื่น เช่น GNU/Linux หรือ BSD โดยเฉพาะเวอร์ชันที่มีการเสริมประสิทธิภาพเพื่อต่อต้านการโจมตีการรักษาความปลอดภัย อย่างเช่น Tails หรือ Qubes OS  อีกทางหนึ่งคือให้ลองติดตั้งซอฟต์แวร์การเข้ารหัสดิสก์ตัวเลือกอื่นเพื่อเข้ารหัสฮาร์ดไดรฟ์ อย่างเช่น Veracrypt

โปรดจำว่า: ไม่ว่าการเข้ารหัสดังกล่าวจะมีชื่อเรียกว่าอะไรก็ตามในอุปกรณ์ที่ใช้งาน แต่การเข้ารหัสก็ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในระดับเดียวกันกับรหัสผ่าน ถ้าผู้ไม่หวังดีมีอุปกรณ์ของคุณอยู่ในความครอบครอง พวกเขาก็จะมีเวลาค้นหารหัสผ่านที่คุณใช้งานได้อย่างเต็มที่ วิธีที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในการสร้างรหัสผ่านที่ทำให้จดจำได้และคาดเดาได้ยากคือการใช้ dice และรายชื่อคำศัพท์ เพื่อเลือกคำที่จะใช้แบบสุ่ม ในการทำงานร่วมกัน คำศัพท์เหล่านี้จะสร้าง “กลุ่มคำรหัสผ่าน” “กลุ่มคำรหัสผ่าน” เป็นรหัสผ่านประเภทหนึ่งซึ่งยาวกว่าปกติและมีการรักษาความปลอดภัยเพิ่มขึ้น สำหรับการเข้ารหัสดิสก์ เราขอแนะนำให้เลือกใช้รหัสผ่านความยาวขั้นต่ำจำนวน 6 คำ สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม โปรดดูที่คู่มือการสร้างรหัสผ่านที่คาดเดาได้ยากของเรา

ทั้งนี้การเรียนรู้และการป้อนกลุ่มคำรหัสผ่านในสมาร์ทโฟนหรืออุปกรณ์มือถืออาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยากในสถานการณ์จริง ขณะที่การเข้ารหัสอาจมีประโยชน์ในการใช้เพื่อป้องกันการเข้าถึงข้อมูล แต่คุณควรเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวที่เป็นความลับโดยไม่ให้ผู้ไม่หวังดีเข้าถึงได้ในทางกายภาพด้วย หรือเก็บไว้ในอุปกรณ์ที่มีการรักษาความปลอดภัยที่ดีกว่า

การทำให้อุปกรณ์มีความปลอดภัย anchor link

การรักษาความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมออาจเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก อย่างดีที่สุดสิ่งที่ต้องทำคือต้องเปลี่ยนรหัสผ่าน เปลี่ยนพฤติกรรม และบางครั้งอาจต้องเปลี่ยนซอฟต์แวร์ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์หรืออุปกรณ์ที่ใช้งานเครื่องหลัก ที่แย่คือ คุณอาจต้องคอยนึกอยู่ตลอดเวลาว่าคุณทำให้ข้อมูลส่วนตัวรั่วไหลออกไปหรือมีการใช้ข้อมูลในลักษณะที่เสี่ยงต่ออันตรายหรือไม่ แม้แต่ในกรณีที่ทราบถึงปัญหา คุณอาจไม่สามารถแก้ไขได้ เนื่องจากบางครั้งบุคคลที่คุณต้องสื่อสารด้วยใช้วิธีการรักษาความปลอดภัยทางดิจิทัลที่ไม่ปลอดภัย ตัวอย่างเช่น เพื่อนร่วมงานอาจต้องการให้คุณเปิดดูไฟล์แนบที่พวกเขาส่งให้คุณ ถึงแม้คุณอาจจะรู้ว่าผู้ไม่หวังดีอาจปลอมตัวเป็นเพื่อนร่วมงานและส่งมัลแวร์มาให้คุณ

วิธีการแก้ไขคือ ให้พิจารณาเก็บข้อมูลและการสื่อสารสำคัญไว้ในอุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยมากกว่า คุณสามารถใช้อุปกรณ์ที่มีความปลอดภัยเพื่อเก็บสำเนาหลักของข้อมูลส่วนตัวที่ต้องการเก็บไว้เป็นความลับ โดยใช้อุปกรณ์นี้เพียงครั้งคราวเท่านั้น และเมื่อใช้งานให้ใช้ด้วยความระมัดระวังเพิ่มมากขึ้น หากต้องการเปิดไฟล์แนบ หรือใช้ซอฟต์แวร์ที่ไม่ปลอดภัย ให้ใช้ในอุปกรณ์เครื่องอื่น

การมีอุปกรณ์ที่ปลอดภัยอีกเครื่องหนึ่งไว้ใช้งานอาจเป็นตัวเลือกที่ไม่แพงอย่างที่คิด คอมพิวเตอร์ที่ไม่ได้ใช้งานบ่อย และใช้โปรแกรมเพียงไม่กี่ประเภท ไม่จำเป็นต้องเป็นเครื่องใหม่หรือเป็นเครื่องที่มีความเร็วสูง สามารถซื้อเน็ตบุ๊คในราคาเพียงเสี้ยวหนึ่งของราคาแล็ปท็อปหรือโทรศัพท์รุ่นใหม่ นอกจากนี้อุปกรณ์รุ่นเก่ายังมีข้อได้เปรียบ โดยซอฟต์แวร์รักษาความปลอดภัยอย่าง Tails มีแนวโน้มที่จะรองรับการใช้งานกับอุปกรณ์รุ่นเก่ามากกว่าอุปกรณ์รุ่นใหม่ คำแนะนำทั่วไปบางข้อสามารถใช้ประโยชน์ได้เสมอ เมื่อซื้ออุปกรณ์หรือระบบปฏิบัติการใดก็ตาม ให้พยายามอัปเดตซอฟต์แวร์ให้อยู่ในเวอร์ชันปัจจุบันเสมอ การอัปเดตมักจะแก้ไขปัญหาการรักษาความปลอดภัยในเวอร์ชันเดิมซึ่งการโจมตีสามารถใช้เป็นจุดอ่อนเพื่อหาประโยชน์ได้ โปรดทราบว่าอาจไม่มีการรองรับโทรศัพท์และระบบปฏิบัติการรุ่นเก่าแล้ว หรือไม่มีแม้แต่การอัปเดตการรักษาความปลอดภัยที่ใช้งานได้

ขั้นตอนที่สามารถใช้เมื่อตั้งค่าในเครื่องคอมพิวเตอร์เพื่อทำให้เครื่องมีความปลอดภัย anchor link

  1. เก็บรักษาอุปกรณ์ในที่ที่ปลอดภัยและไม่เปิดเผยข้อมูลของสถานที่เก็บ โดยเก็บไว้ในที่ที่คุณจะสามารถสังเกตเห็นได้หากมีการพยายามเข้าถึงอุปกรณ์ดังกล่าว เช่น ในตู้เก็บที่ล็อกกุญแจ
  2. เข้ารหัสฮาร์ดไดรฟ์ของคอมพิวเตอร์โดยใช้รหัสผ่านที่คาดเดาได้ยาก เผื่อในกรณีที่อุปกรณ์ถูกขโมย จะทำให้ไม่สามารถอ่านข้อมูลได้โดยไม่มีรหัสผ่าน
  3. ติดตั้งระบบปฏิบัติการที่เน้นความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัย อย่างเช่น Tails คุณอาจไม่สามารถ (หรือต้องการ) ใช้ระบบปฏิบัติการโอเพนซอร์สในการใช้งานประจำวัน แต่หากเพียงต้องการเก็บ แก้ไข หรือส่งอีเมลหรือข้อความที่เป็นความลับจากอุปกรณ์ที่ปลอดภัยเครื่องนี้ Tails จะทำงานได้ดีและจะทำให้การตั้งค่าเริ่มต้นการรักษาความปลอดภัยอยู่ในระดับที่สูง
  4. ไม่เชื่อมต่ออุปกรณ์เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต วิธีที่ดีที่สุดในการปกป้องตัวคุณเองจากการโจมตีทางอินเทอร์เน็ตหรือการสอดแนมออนไลน์คือไม่เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต สามารถตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่ปลอดภัยไม่ได้เชื่อมต่อกับเครือข่ายหรือ Wifi ภายใน แล้วคัดลอกไฟล์ลงเครื่องโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพ เช่น DVD หรือ ไดรฟ์ USB  ในการรักษาความปลอดภัยเครือข่าย วิธีนี้เรียกว่า “air gap ” (ช่องว่างทางอากาศ) ระหว่างคอมพิวเตอร์กับโลกอินเทอร์เน็ต วิธีนี้อาจดูสุดโต่งเกินไป แต่เป็นตัวเลือกที่ใช้ได้หากต้องการปกป้องข้อมูลที่ไม่ได้มีการใช้งานบ่อยครั้ง แต่ไม่ต้องการให้ข้อมูลดังกล่าวสูญหาย (เช่นคีย์การเข้ารหัส, รายการรหัสผ่าน หรือสำเนาการสำรองข้อมูลส่วนตัวของใครก็ตามที่คุณได้รับความไว้วางใจให้เก็บไว้) ส่วนใหญ่แล้วสามารถพิจารณาใช้อุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลที่จะเก็บไว้เป็นความลับ แทนที่จะใช้คอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องเพื่อวัตถุประสงค์นี้ ตัวอย่างเช่น คีย์ USB ที่มีการเข้ารหัสซึ่งซ่อนไว้ในที่ที่ปลอดภัย อาจเป็นตัวเลือกการใช้งานที่มีประโยชน์ (หรือไม่มีประโยชน์) เมื่อคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องไม่ได้เชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ต
  5. อย่าเข้าสู่ระบบในบัญชีที่ใช้งานเป็นประจำ หากคุณใช้อุปกรณ์ที่ปลอดภัยในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ให้สร้างบัญชีสำหรับเว็บหรืออีเมลที่คุณใช้สื่อสารจากอุปกรณ์ดังกล่าวแยกต่างหาก และใช้ Tor (ดูที่คู่มือการใช้งานสำหรับ Linux, macOS, Windows) เพื่อเก็บรักษาที่อยู่ IP ไว้เป็นความลับจากบริการเหล่านี้ หากใครก็ตามเลือกที่จะโจมตีข้อมูลส่วนตัวของคุณแบบเจาะจงโดยใช้มัลแวร์ หรือแค่ต้องการขัดขวางการติดต่อสื่อสารของคุณ บัญชีแยกต่างหากที่สร้างไว้กับ Tor จะสามารถเป็นตัวกลางสกัดกั้นการเชื่อมต่อข้อมูลส่วนตัวของคุณกับอุปกรณ์เครื่องนี้

ขณะที่การมีอุปกรณ์ที่ปลอดภัยหนึ่งเครื่อง ซึ่งใช้เก็บข้อมูลสำคัญที่เป็นความลับอาจช่วยปกป้องข้อมูลจากผู้ใหม่หวังดีได้ แต่วิธีดังกล่าวอาจเป็นการสร้างเป้าหมายโจมตีที่ชัดเจนได้ด้วย และยังมีความเสี่ยงที่สำเนาข้อมูลที่มีอยู่เพียงสำเนาเดียวจะเกิดการสูญหาย หากอุปกรณ์เครื่องที่ใช้งานถูกทำลาย ถ้าผู้ไม่หวังดีจะได้รับประโยชน์จากการที่ข้อมูลทั้งหมดของคุณสูญหาย อย่าเก็บข้อมูลไว้ที่เดียว ไม่ว่าวิธีการเก็บรักษาดังกล่าวจะปลอดภัยมากแค่ไหนก็ตาม ให้เข้ารหัสสำเนาของข้อมูลแล้วเก็บไว้ที่อื่น

แนวคิดหลาย ๆ วิธีเกี่ยวกับอุปกรณ์ที่ปลอดภัยคือ มีเครื่องที่ไม่ได้รักษาความปลอดภัย ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่คุณใช้เฉพาะเมื่อเดินทางไปยังสถานที่ที่อันตรายหรือเมื่อพยายามทำในสิ่งที่เสี่ยงอันตราย ตัวอย่างเช่น ผู้สื่อข่าวหรือนักเคลื่อนไหวจำนวนมากจะนำโน้ตบุ๊คแบบพื้นฐานติดตัวไปเมื่อเดินทาง คอมพิวเตอร์เครื่องนี้จะไม่มีเอกสารหรือข้อมูลในการติดต่อหรืออีเมลอยู่ในเครื่อง ทำให้ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นมีน้อยหากเครื่องถูกยึดหรือสแกน คุณสามารถใช้แนวทางเดียวกันนี้ได้กับโทรศัพท์มือถือ หากปกติคุณใช้สมาร์ทโฟน เมื่อเดินทางให้พิจารณาซื้อโทรศัพท์ราคาถูกหรือโทรศัพท์แบบใช้แล้วทิ้งเพื่อใช้กับการสื่อสารบางอย่างโดยเฉพาะ